โรคฝีดาษลิง

Key Takeaways

  • ฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม Orthopoxvirus ซึ่งเป็นไวรัสในกลุ่มเดียวกับโรคฝีดาษ
  • ฝีดาษลิงมักมีอาการไม่รุนแรงและสามารถหายเองได้ใน 2-4 สัปดาห์
  • อย่างไรก็ตามในรายที่มีอาการฝีดาษลิงรุนแรงควรปรึกษาแพทย์ทันที
สารบัญบทความ

ฝีดาษลิงคืออะไร?

โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) หรือ Mpox คือโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส Monkeypox ซึ่งเป็นเชื้อที่อยู่ในกลุ่ม Orthopoxvirus ซึ่งเป็นไวรัสในกลุ่มเดียวกับโรคฝีดาษ (Smallpox) หรือที่ในอดีตรู้จักกันในชื่อโรค “ไข้ทรพิษ” แต่ฝีดาษลิงนั้นจะมีความรุนแรงที่น้อยกว่า ฝีดาษลิงระบาดครั้งแรกในสัตว์ฟันแทะทวีปแอฟริกา เช่น ลิง หนู กระรอก กระต่าย นอกจากการแพร่เชื้อจากสัตว์สู่คนแล้วต่อมาจึงพบว่าเชื้อฝีดาษลิงสามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนได้เช่นกันโดยรับเชื้อฝีดาษลิงผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ ผู้ที่ติดเชื้อฝีดาษลิงจะมีอาการ เป็นไข้ ปวดหัว และมีตุ่มน้ำใสขึ้นตามใบหน้า แขน และขา เป็นต้น

 

ในปัจจุบันได้มีการจำแนกฝีดาษลิงเป็นสองชนิดหลักตามสายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์แอฟริกากลาง และ แอฟริกาตะวันตก ซึ่งมีศัพท์เฉพาะใช้เรียกทั้งสองสายพันธุ์ คือ เคลดวัน (Clade I) สำหรับสายพันธุ์ แอฟริกากลาง และ เคลดทู (Clade II) สำหรับสายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก โดยการติดเชื้อ


สายพันธุ์เคลดวันจะมีความรุนแรงของโรคและอัตราการเสียชีวิตที่สูงกว่าการติดเชื้อสายพันธุ์เคลดทู

 

ปรึกษาเรื่องโรคฝีดาษลิงกับคุณหมอที่แอป BeDee ได้ทุกวัน สะดวก ส่งยาถึงที่

อาการของโรคฝีดาษลิงเป็นอย่างไร?

ฝีดาษลิง อาการ

ถึงแม้ว่าโรคฝีดาษลิงจะมีอาการไม่รุนแรงแต่เราก็ควรทราบอาการของโรคฝีดาษลิงเบื้องต้นเพื่อการสังเกตตัวเอง อาการฝีดาษลิงมักปรากฎภายใน 5-20 วันหลังได้รับเชื้อ อาการเบื้องต้นฝีดาษลิงที่พบได้ในคนมีดังนี้

  • ไข้สูง
  • ปวดหัว
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ 
  • ปวดหลัง
  • ไอ เจ็บคอ
  • ต่อมน้ำเหลืองโต
  • อ่อนเพลีย
  • มีผื่นหรือตุ่มพองบนผิวหนัง อาจมีอาการคันหรือเจ็บปวดร่วมด้วย ผื่นจะพัฒนาจากตุ่มนูนสีแดงไปเป็นตุ่มพองใส และแตกเป็นสะเก็ด บริเวณที่มักพบผื่น ได้แก่ ใบหน้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ขาหนีบ อวัยวะสืบพันธุ์ และทวารหนัก เป็นต้น 

 

BeDee Tips: ยิ่งเกายิ่งคัน ใช้ยาทาแก้ผื่นคันแบบไหนดี ? อ่านเลย

ฝีดาษลิงติดต่อได้อย่างไร?

โรคฝีดาษลิงหรือโรคฝีดาษวานรพบการระบาดครั้งแรกในทวีปแอฟริกา โดยตัวเชื้อฝีดาษลิงมาจากกลุ่มสัตว์ฟันแทะ เช่น ลิง หนู กระรอก กระต่าย นอกจากการแพร่เชื้อจากสัตว์สู่คนแล้วเชื้อฝีดาษลิงสามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนได้เช่นกัน

สัตว์สู่คน

โรคฝีดาษลิงการติดต่อจากสัตว์สู่คนนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ผ่านการสัมผัสกับสัตว์ติดเชื้อโดยตรง การโดนสัตว์ที่ติดเชื้อฝีดาษลิงกัดหรือข่วน หรือการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ยังไม่ผ่านการปรุงให้สุก

คนสู่คน

การติดเชื้อฝีดาษลิงจากคนสู่คนนั้นเกิดจากสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น การสัมผัสตุ่มฝีดาษลิงของผู้ติดเชื้อ การสัมผัสน้ำลาย การไอจามรดกัน การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ

ใครบ้างที่เป็นกลุ่มเสี่ยงโรคฝีดาษลิง 

กลุ่มเสี่ยงฝีดาษลิง ได้แก่

  • ผู้ที่ใกล้ชิดกับสัตว์ฟันแทะที่มีเชื้อฝีดาษลิง
  • ผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยฝีดาษลิง
  • บุคลากรทางการแพทย์
  • ผู้ที่อาศัยหรือเดินทางเข้าไปในพื้นที่ที่มีการระบาด

ฝีดาษลิงมีวิธีวินิจฉัยอย่างไร?

ปัจจุบันวิธีการตรวจวินิจฉัยโรคฝีดาษลิงนั้นสามารถทำได้โดยการตรวจหาสารพันธุกรรม Real – Time PCR ซึ่งแพทย์จะเก็บตัวอย่างของเหลวจากแผลฝีดาษลิงของผู้ป่วยเพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ

ฝีดาษลิงมีวิธีการรักษาอย่างไร?

ฝีดาษลิง รักษา

โดยปกติแล้วโรคฝีดาษลิงนั้นมักมีอาการไม่รุนแรงและสามารถหายเองได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ แต่ในกรณีที่มีอาการรุนแรงแพทย์จะเน้นรักษาและจ่ายยาตามอาการ หรือใช้ยาต้านไวรัสในกลุ่มที่ใช้รักษาไข้ทรพิษร่วมด้วย ผู้ป่วยไม่ควรแกะหรือเกาตุ่มฝีดาษลิงเพราะอาจทำให้แผลแย่ลงและติดเชื้อได้ ทั้งนี้ควรสังเกตอาการตัวเองหากไม่แน่ใจสามารถปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมได้ทันที

การป้องกันฝีดาษลิงควรทำอย่างไร?

การป้องกันฝีดาษลิงสามารถปฏิบัติได้ ดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์โดยตรงโดยเฉพาะสัตว์ในกลุ่มฟันแทะ เช่น หนู กระต่าย กระรอก 
  • หมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์
  • สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่แออัด
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
  • พยายามไม่สัมผัสใบหน้า จมูก ปาก เพื่อหลีกเลี่ยงการรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฝีดาษลิง 

1. ฝีดาษลิงหายเองได้ไหม?

อาการโรคฝีดาษลิงนั้นมักไม่ค่อยรุนแรงและสามารถหายเองได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ แต่หากพบว่ามีอาการฝีดาษลิงรุนแรง เช่น มีไข้สูง อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยร่างกายมาก ปวดแผลมาก ควรปรึกษาแพทย์

2. ฝีดาษลิงสามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่?

จากข้อมูลในปัจจุบันหลายแห่งระบุว่าฝีดาษลิงสามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้จากการสัมผัส กอด จูบซึ่งจะทำให้เราสัมผัสเชื้อฝีดาษลิงผ่านสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย น้ำเหลือง จากผู้ติดเชื้อโดยตรง ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อฝีดาษลิง หรือการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนแปลกหน้าเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

3. ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันฝีดาษลิงหรือยัง?

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษลิงโดยตรง การฉีดวัคซีนจะใช้วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษฉีดในกลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงหรือกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องใกล้ชิดผู้ป่วย โดยในปัจจุบัน วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษ JYNNEOS จะฉีดเข้าใต้ผิวหนัง จำนวน 2 ครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 28 วัน สามารถป้องกันโรคฝีดาษลิง ได้ถึงร้อยละ 80 – 85 แนะนำให้ฉีดในผู้ที่อายุ 18 ปีขึ้นไป ที่มีการสัมผัสโรคโดยตรงกับผู้ป่วยฝีดาษลิง เช่น สัมผัสโรค คลุกคลี ใกล้ชิดกับผู้ป่วย หรือผู้ที่มีเพศสัมพันธุ์กับผู้ติดเชื้อ เป็นต้น

ฝีดาษลิงแม้ไม่รุนแรงแต่ต้องหมั่นสังเกตอาการตัวเอง 

ถึงแม้ว่าโรคฝีดาษลิงอาการจะไม่รุนแรงและสถานการณ์ในปัจจุบันของฝีดาษลิงในไทยจะยังไม่รุนแรงมากแต่ก็ไม่ควรประมาทและต้องเฝ้าระวังกันต่อไป 

 

ปรึกษาหมอออนไลน์ นักกำหนดอาหาร พยาบาล และปรึกษาเภสัชกรแบบไม่มีค่าใช้จ่ายบนแอป BeDee ได้ทุกวัน ส่งยาและสินค้าถึงที่ สอบถามเพิ่มเติม Line Official : @BeDeebyBDMS 

 

Content powered by BeDee Expert

นพ. จิติศักดิ์ พูนศรีสวัสดิ์

แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว เวชศาสตร์ป้องกัน และอาชีวเวชศาสตร์

 

เรียบเรียงโดย

กรวรรณ ใจซื่อกุล

  1. World Health Organization (WHO). (2024, August 26). Fact-sheet Mpox.
    https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/mpox
  2. Cleveland Clinic. (2023, April 25). Mpox.
    https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/22371-monkeypox
  3. Centers of disease control and prevention (CDC). (2024, September 3). Mpox.
    https://www.cdc.gov/poxvirus/mpox/about/index.html
  4. European center for disease prevention and control. (2024, August 28). Factsheet for health professionals on Mpox.
    https://www.ecdc.europa.eu/en/all-topics-z/monkeypox/factsheet-health-professionals
บทความที่เกี่ยวข้อง

Key Takeaway   น้ํามูกสีเขียว คืออาการติดเชื้อในโพรงจมูกที่รุนแรงขึ้น น้ํามูกสีแดงแสดงถึงอาการเส้นเลือดในโพรงจมูกแตกจากการสั่งน้ำมูกแรง ๆ อาการบาดเจ็บบริเวณจมูก โรคภูมิแพ้ หรือโรคหลอดเลือดอื่น ๆ เช่น ริดสีดวงจมูก หรือเนื้องอกภายในโพรงจมูก หากพบว่าเป็

โรคเบาหวานไม่ใช่แค่โรคผู้สูงอายุอีกต่อไป ปัจจุบันพบว่ามีผู้ป่วยโรคเบาหวานอายุน้อยลงเรื่อย ๆ เนื่องมาจากไลฟ์สไตล์ รูปแบบการใช้ชีวิตและการรับประทานอาหารที่เปลี่ยนแปลงไป การตรวจคัดกรองสุขภาพประจำปีจึงสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้เรารู้เท่าทันสุขภาพตนเอง โรคเบา