ท้องเสีย

ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงการให้ข้อมูลทั่วไป ไม่สามารถทดแทนการให้คำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์ได้ โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาทุกครั้ง

Key Takeaway

 

  • ท้องเสียเกิดขึ้นได้จากการติดเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้ออื่น ๆ 
  • เมื่อท้องเสียจนทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่มากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการชา เวียนศีรษะ หรืออ่อนเพลีย และในกรณีที่รุนแรงมากอาจเสี่ยงต่อการช็อกได้
  • กลุ่มเด็กเล็กและผู้สูงอายุควรเฝ้าระวังใกล้ชิดเมื่อมีอาการท้องเสีย
สารบัญบทความ

ท้องเสีย คืออะไร มีกี่ประเภท

ท้องเสีย (Diarrhea) คืออาการที่ลำไส้ทำงานผิดปกติ ทำให้ถ่ายเหลวบ่อยขึ้นอย่างน้อย 3 ครั้ง/วัน โดยอุจจาระมักมีลักษณะเหลวเป็นน้ำ หรือเป็นน้ำปนเนื้อ ท้องเสีย ที่เป็นลักษณะท้องเสียแบบเฉียบพลัน มักมีอาการปวดบิด เสียดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียนหรืออาจมีไข้ร่วมด้วย ท้องเสีย เกิดจากการติดเชื้อทางเดินอาหาร ทั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส ซึ่งอาจเกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ไม่สะอาด ปนเปื้อนเชื้อโรค หากอาการท้องเสียรุนแรงอาจอันตรายถึงชีวิตได้ จำเป็นต้องรีบพบแพทย์ อาการท้องเสียแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้

1. ท้องเสียแบบเฉียบพลัน (Acute diarrhea)

อาการท้องเสียเฉียบพลันสามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรืออาหารเป็นพิษ ท้องเสียประเภทนี้โดยส่วนใหญ่สามารถหายเองได้ มักดีขึ้นภายใน 1-2 วัน แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อหรือยาปฎิชีวนะ

2. ท้องเสียแบบต่อเนื่อง (Persistent diarrhea)

ท้องเสียแบบต่อเนื่องคืออาการท้องเสียที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง 2-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยไม่ควรนิ่งนอนใจ เนื่องจาก อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคร้าย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อป้องกันไม่ให้อาการท้องเสียรุนแรง และได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

3. ท้องเสียแบบเรื้อรัง (Chronic diarrhea)

ท้องเสียเรื้อรังคืออาการท้องเสียต่อเนื่องตั้งแต่ 4 สัปดาห์ขึ้นไป หรือมีอาการท้องเสียแบบเป็น ๆ หาย ๆ ผู้ป่วยบางรายอาจมีน้ำหนักลด ไข้ตอนกลางคืน ถ่ายเป็นมูกเลือด หรือมีอาการปวดท้องร่วมด้วยได้ ควรปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุท้องเสีย

 

มีอาการท้องเสียบ่อยปรึกษาแพทย์ที่แอป BeDee สะดวก ไม่ต้องเดินทาง ส่งสินค้าถึงมือ

ท้องเสีย สาเหตุเกิดจากอะไร

สาเหตุท้องเสียเกิดได้จากหลายปัจจัย บางคนร่างกายอาจตอบสนองต่ออาหารหรือเชื้อบางอย่างแตกต่างกัน จึงอาจทำให้บางคนรับประทานอาหารแล้วมีอาการท้องเสีย แต่ในบางรายอาจไม่มีอาการ สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการถ่ายเหลวเกิดจากปัจจัยดังนี้

 

  • การติดเชื้อจากเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินทางอาหารซึ่งอาจปนเปื้อนมากับแหล่งน้ำหรืออาหาร ซึ่งอาจทำให้ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นน้ำ หรือถ่ายเป็นมูกเลือดได้ 
  • อาหารเป็นพิษจากสารพิษที่เชื้อแบคทีเรียสร้างขึ้น (ฺBacterial toxin induced -food poisoning) โดยมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมกับมีถ่ายเหลวเป็นน้ำ เกิดจากการรับประทานอาหารค้างคืนหรือทิ้งไว้นาน
  • ท้องเสียจากการติดเชื้อจากเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสโรต้า (Rotavirus), ไวรัสอะดีโน (Adenovirus) 
  • การติดเชื้อจากเชื้อจุลินทรีย์ อื่นๆ เช่น พยาธิ หรือ โปรโตซัว เป็นต้น
  • แพ้น้ำตาลแลคโตส (Lactose intolerance)
  • โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory bowel disease)
  • โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • โรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง หรือ มะเร็งตับอ่อน ผู้ป่วยมักจะมีถ่ายเหลวช่วงที่ทานอาหารมัน และอุจจาระอาจมีมันลอยร่วมด้วยได้ เนื่องจากมีการดูดซึมของไขมันที่ผิดปกติ
  • การใช้ยาบางชนิดที่มีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการท้องเสีย
  • ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคทางเดินอาหาร ความเครียด และความวิตกกังวล เป็นต้น

ท้องเสีย อาการเป็นอย่างไร

เมื่อท้องเสีย อาการโดยทั่วไปที่อาจพบได้ มีดังนี้ 

  • ปวดท้อง ปวดบิด หรือปวดเกร็งท้อง
  • ถ่ายอุจจาระเหลวเป็นน้ำ หรือเป็นน้ำปนเนื้อ 
  • ถ่ายบ่อย ถ่ายอุจจาระไม่สุด
  • คลื่นไส้ 
  • อาเจียน
  • มีไข้
  • ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • ถ่ายเป็นเลือด หรือ ถ่ายเป็นมูกปนออกมากับอุจจาระ

อุจจาระของผู้ที่ท้องเสีย มีลักษณะเป็นอย่างไร

  • อุจจาระเป็นมูกเลือด เนื่องจากการติดเชื้อ หรือการอักเสบ ซึ่งทำลายเยื่อบุผิวลำไส้ ทำให้ผิวลำไส้หลุดลอกออกมาเป็นแผ่นเมือกสีขาวคล้ายมูกปะปนกับเลือดได้ บางครั้งอาจมีอาการปวดบิดท้อง ปวดหน่วงก้น รู้สึกถ่ายไม่สุด หรือ มีไข้ร่วมด้วยได้ โดนส่วนใหญ่มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
  • อุจจาระเหลวเป็นน้ำ อาจมีสีเหลือง สีเขียวอ่อน หรือลักษณะคล้ายน้ำซาวข้าวและมีกลิ่นเหม็นคาวได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ผู้ป่วยมักมีอาการของอาการขาดน้ำร่วมด้วย

ภาวะแทรกซ้อนจากอาการท้องเสียมีอะไรบ้าง

  • ภาวะขาดน้ำ (Dehydration) คือภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่มากเกินไป อาการอาจไม่รุนแรง มีอาการคอแห้ง เวียนศีรษะ หรืออ่อนเพลีย จนถึงอาการขาดน้ำขั้นรุนแรงมากอาจ มีอาการซึม กระสับกระสาย ปัสสาวะออกน้อย จนถึงมีอาการช็อก ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
  • ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) อาจเกิดขึ้นได้เมื่อเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือด อาจทำให้เกิดอาการไข้สูง หนาวสั่น และอาจช็อก ถึงขั้นเสียชีวิตได้ จึงควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยเร่งด่วน
  • ไตทำงานผิดปกติเนื่องจากการสูญเสียน้ำและเกลือมากอย่างมาก
  • การติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด อาจทำให้มีการติดเชื้อรุนแรง เกิดเม็ดเลือดแดงแตก เกร็ดเลือดต่ำ และเกิดไตวายเฉียบพลันได้

อาการท้องเสียแบบใดที่ควรรีบไปพบแพทย์

ท้องเสีย อาการ

ท้องเสียกี่ครั้งควรไปหาหมอ? โดยส่วนใหญ่อาการท้องเสียเฉียบพลันชนิดไม่รุนแรง อาการท้องเสียดังกล่าวสามารถหายเองได้ ประมาณ 1-2 วันจะสังเกตได้ว่าความถี่ในการถ่ายจะค่อย ๆ ห่างกันมากขึ้น จนกลับมาถ่ายปกติ แต่หากมีอาการปวดท้อง ปวดบิดรุนแรง ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นน้ำปริมาณมาก ท้องเสียติดต่อกัน 3 วัน มีไข้สูง 38.5 องซาเซลเซียสขึ้นไป ถ่ายเหลวมีเลือดปน หรือมีอาการของการขาดน้ำ รู้สึกอ่อนเพลีย ทานไม่ได้ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็กและผู้สูงอายุ หรือกลุ่มผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติมโดยด่วน เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจเสี่ยงต่ออาการช็อกและอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ง่าย อย่างไรก็ตามผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องรอให้อาการรุนแรงถึง 3 วัน หากสังเกตว่าอาการท้องเสีย ความถี่ในการถ่ายมากเกินไปตั้งแต่วันแรก หรือมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย สามารถปรึกษาแพทย์ได้ทันที

 

ปรึกษาการรักษาท้องเสียกับแพทย์ที่แอป BeDee สะดวก ไม่ต้องเดินทาง ส่งสินค้าถึงมือ

การวินิจฉัยอาการท้องเสีย 

สำหรับการวินิจฉัยอาการท้องเสียนั้นแพทย์จะซักประวัติและสอบถามอาการผู้ป่วยเบื้องต้น เช่น ท้องเสียมาแล้วกี่วัน มีอาการปวดท้อง เป็นไข้ อาเจียน ร่วมด้วยหรือไม่ รวมถึงอาหารที่รับประทานเข้าไป หลังจากนั้น จึงให้การรักษา การส่งตรวจตัวอย่างอุจจาระและตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจดูการติดเชื้อ อาจทำในร้ายที่มีอาการปวดบิดท้องรุนแรง มีท้องเสียรุนแรง หรือมีท้องเสียมากกว่า 7 วันเพื่อหาเชื้อที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียรวมถึงการตรวจหาอาการแทรกซ้อน

การรักษาอาการท้องเสีย 

การรักษาท้องเสียขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการท้องเสีย เช่น ท้องเสียจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรือเชื้ออื่น ๆ การรักษาท้องเสียสามารถทำได้โดยการรับประทานยาตามแพทย์สั่งและดูแลตัวเองควบคู่ไปด้วย ในกรณีที่ท้องเสียไม่รุนแรงผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล เน้นรับประทานอาหารอ่อน ปรุงสุก ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ รวมถึงการดื่มน้ำเกรือแร่เพื่อป้องกันการขาดน้ำและแร่ธาตุ การรักษาอาการท้องเสียนั้นผู้ป่วยไม่ควรหาซื้อยามารับประทานเอง ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาทุกครั้ง

ยาที่ควรรับประทานเมื่อมีอาการท้องเสีย

ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงการให้ข้อมูลทั่วไป ไม่สามารถทดแทนการให้คำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์ได้ โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาทุกครั้ง

ท้องเสียกินยาอะไร ท้องเสียกินอะไรหาย ยาท้องเสียโดยทั่วไปที่ใช้ในการรักษาอาการท้องเสีย เช่น

  • ยาคาร์บอน (Activated Carbon) เป็นยาที่ใช้เพื่อดูดซับสารพิษเพื่อบรรเทาอาการท้องเสีย ตัวยาไม่ได้มีผลในการฆ่าเชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย และไม่สามารถใช้เป็นยาหยุดถ่ายได้
  • เกลือแร่ ORS
  • ยาแก้ปวดท้อง
  • ยาช่วยหยุดถ่าย สามารถทานได้ในผู้ที่มีถ่ายเหลวเป็นน้ำ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาทุกครั้ง
  • ยาฆ่าเชื้อท้องเสีย หรือยาปฏิชีวนะ ควร ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาทุกครั้ง

 

ปรึกษาการใช้ยาแก้ท้องเสีย ยาฆ่าเชื้อท้องเสีย กับเภสัชกรที่แอป BeDee ได้ทุกวันถึงเที่ยงคืน ไม่มีค่าปรึกษา พร้อมจัดส่งสินค้าถึงมือ

เมื่อมีอาการท้องเสียดูแลตนเองอย่างไร

ท้องเสีย รักษา
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง
  • รับประทานอาหารอ่อน เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม 
  • รับประทานอาหารที่ปรุงสุก สะอาด 
  • จิบน้ำบ่อย ๆ โดยเฉพาะน้ำเกลือแร่ ORS เพื่อป้องกันการขาดน้ำและเกลือแร่
  • เลี่ยงอาหารรสจัด อาหารหมักดอง และอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงสุก
  • ไม่ควรรับประทานผัก ผลไม้ นม และแอลกอฮอล์

วิธีป้องกันอาการท้องเสีย 

  • ล้างมือด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์ก่อนรับประทานอาหาร และใช้ช้อนกลางเมื่อรับประทานข้าวกับผู้อื่นทุกครั้ง
  • รับประทานอาหารที่ปรุงสุก สะอาด และปรุงสุกใหม่
  • ไม่รับประทานอาหารที่ทิ้งไว้นาน
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง เช่น ปลาร้า หอยดอง กุ้งดอง ผักดอง 
  • ดื่มน้ำสะอาดหรืออาจนำไปต้มก่อนดื่มหากไม่มั่นใจในความสะอาดของแหล่งน้ำ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับท้องเสีย

1. ท้องเสียกินอะไรได้บ้าง

อาหารคนท้องเสีย หรืออาหารแก้ท้องเสียที่ควรรับประทานคืออาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ที่ปรุงสุก สะอาด และควรจิบน้ำหรือน้ำเกลือแร่บ่อย ๆ ระหว่างวันเพื่อป้องกันการขาดน้ำ

2. อาหารที่ห้ามรับประทานเมื่อมีอาการท้องเสีย

ท้องเสียห้ามกินอะไร ผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสียไม่ควรรับประทานอาหารหมักดอง อาหารรสจัด อาหารดิบที่ไม่ผ่านการปรุงสุก รวมถึงนม ผัก ผลไม้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

3. ท้องเสียกับอาหารเป็นพิษต่างกันอย่างไร

ท้องเสียอาจเกิดจากอาหารเป็นพิษได้ ซึ่งอาหารเป็นพิษนั้นเกิดจากสารพิษที่เชื้อแบคทีเรียสร้างขึ้น (ฺBacterial toxin induced -food poisoning) ผู้ป่วยอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมกับมีถ่ายเหลวเป็นน้ำ เกิดจากการรับประทานอาหารค้างคืนหรือทิ้งไว้นาน

สรุปท้องเสียรุนแรงอาจถึงขั้นช็อคได้ รีบปรึกษาแพทย์

อาการท้องเสียทำให้ร่างกายเราขาดน้ำและแร่ธาตุต่าง ๆ โดยหากมีอาการท้องเสียที่รุนแรง อาจมีภาวะขาดน้ำ เช่น ปากแห้งผิวแห้ง อ่อนเพลีย รวมถึงปัสสาวะออกน้อยร่วมด้วยได้ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าร่างกายช็อกเป็นอันตรายถึงชีวิต เมื่อมีอาการท้องเสียอย่าปล่อยให้อาการรุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์เมื่อเริ่มมีอาการทันที 

 

ปรึกษาหมอออนไลน์ พยาบาล หรือปรึกษาเภสัชกรที่แอป BeDee ได้ทุกวัน พร้อมให้คำปรึกษาและจัดส่งสินค้าถึงมือ เลือกปรึกษาตามเวลาที่คุณสะดวก เป็นส่วนตัวสูง ไม่ต้องเดินทาง สอบถามเพิ่มเติม Line Official : @BeDeebyBDMS

 

 

 

Content powered by BeDee Expert

นพ. อรรถวิทย์ พานิชกุล

แพทย์ชำนาญการด้านอายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ

 

 

เรียบเรียงโดย

กรวรรณ ใจซื่อกุล

  • DuPont, H. L. (1997). Guidelines on acute infectious diarrhea in adults. American Journal of Gastroenterology (Springer Nature)92(11).
  • Manatsathit, S., Dupont, H. L., Farthing, M., Kositchaiwat, C., Leelakusolvong, S., Ramakrishna, B. S., … & Surangsrirat, S. (2002). Guideline for the management of acute diarrhea in adults. Journal of Gastroenterology and Hepatology17, S54-S71.
  • Guerrant, R. L., Van Gilder, T., Steiner, T. S., Thielman, N. M., Slutsker, L., Tauxe, R. V., … & Pickering, L. K. (2001). Practice guidelines for the management of infectious diarrhea. Clinical infectious diseases32(3), 331-351.
  • Riddle, M. S., DuPont, H. L., & Connor, B. A. (2016). ACG clinical guideline: diagnosis, treatment, and prevention of acute diarrheal infections in adults. Official journal of the American College of Gastroenterology| ACG111(5), 602-622.
บทความที่เกี่ยวข้อง

Key Highlight   กระเพาะปัสสาวะอักเสบเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะปัสสาวะโดยเฉพาะเชื้ออีโคไล (Escherichia coli) ที่พบบ่อยที่สุด ผู้ป่วยมักรู้สึกปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะไม่สุด ปวดท้องน้อย ปัสสาวะขุ่น  หากมีอาการควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับยาปฏิชีวนะ สารบ

กรดไหลย้อน โรคที่พบได้บ่อยมากขึ้นเนื่องจากรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน ทั้งผู้ที่มีโรคเครียด ขาดการออกกำลังกาย เคลื่อนไหวร่างกายน้อย รับประทานอาหารแล้วนอนทันที ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกรดไหลย้อนมากขึ้น สร้างควา