Key Highlight อาการหูอื้อที่ควรรีบปรึกษาหมอ เช่น หูอื้อบ่อย หูอื้อหลายวัน มีอาการหูอื้อตลอดเวลา ปวดหู หูอื้อข้างเดียว บ้านหมุน เวียนศีรษะ อาการหูอื้อทั่วไป เช่น หูอื้อจากน้ำเข้าหู หูอื้อจากการขึ้นเครื่องบิน อาการหูอื้อเหล่านี้อาจเกิดขึ้นและหายไปภา
โรคหัด อาการ โรคแทรกซ้อน และวิธีป้องกัน
Disclaimer: ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงการให้ข้อมูลทั่วไป ไม่สามารถทดแทนการให้คำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์ได้ โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาทุกครั้ง
Key Takeaways
- โรคหัด (Measles) เกิดจากเชื้อไวรัส Measles Virus เป็นไวรัสชนิดหนึ่งในตระกูล Paramyxoviridae
- มักพบในกลุ่มเด็กเล็กและเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตได้
- อาการที่พบได้ เช่น ไข้ขึ้นสูง น้ำมูกไหล คัดจมูก ตาแดง พบจุดสีขาวขนาดเล็กบนพื้นแดงในกระพุ้งแก้ม และมีผื่นขึ้นทั่วร่างกาย
โรคหัดเกิดจากอะไร ?
โรคหัด (Measles) เกิดจากเชื้อไวรัส Measles Virus (Morbillivirus) ซึ่งเป็น RNA ไวรัสชนิดหนึ่งในตระกูล Paramyxoviridae โดยเชื้อไวรัสนี้จะทำให้เกิดอาการมีไข้ ไอ จาม ผื่นสีแดงหรือผื่นคันขึ้นตามลำตัว ตาแดง ตาแฉะ ปากแดง มีตุ่มแดงที่มีสีขาวเล็ก ๆ ตรงกลางขึ้นในกระพุ้งแก้ม โรคหัดติดต่อจากการหายใจรับละอองจากการไอหรือจามของผู้ป่วย และสามารถแพร่กระจายได้ง่ายโดยเฉพาะสถานที่แออัด เช่น โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า แหล่งชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็ก 0-4 ปีที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัด
BeDee Tips: รู้จักโรคผื่นกุหลาบ ผื่นคันอีกประเภทที่ควรระวัง
โรคหัดมีอาการเป็นอย่างไร?
โรคหัดมีอาการโดยทั่วไป 2 ระยะคือระยะเริ่มต้นและระยะผื่น โดยทั้ง 2 ระยะมีอาการโดยทั่วไปที่สามารถพบได้ เช่น
ระยะเริ่มต้น
ช่วงประมาณ 2-4 วันแรก
- ไข้ขึ้นสูงอย่างรวดเร็วประมาณ 38-40°C
- ไอแห้ง
- น้ำมูกไหล (Coryza) คัดจมูก
- ตาแดง น้ำตาไหล แพ้แสง
- อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
- พบจุดสีขาวขนาดเล็กบนพื้นสีแดงในกระพุ้งแก้ม เรียกว่า “จุดค็อปลิค (Koplik’s Spots)” ซึ่งเป็นอาการที่บ่งบอกว่าเป็นโรคหัด
ระยะผื่น
- มีผื่นแดง หรือผื่นหัด ขึ้นในช่วง วันที่ 3-5 ของการป่วย
- ผื่นเริ่มขึ้นจากบริเวณหลังหูและใบหน้า
- ผื่นลามลงมาที่ลำตัว แขน ขา ตามลำดับ
- ลักษณะผื่นเป็น ปื้นแดง บางครั้งนูนเล็กน้อย (Maculopapular, Erythematous Rash)
- ผื่นมักขึ้นหนาแน่นในช่วงไข้สูง และจะอยู่ประมาณ 4-7 วัน
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคหัด
- ท้องเสีย
- ขาดน้ำ
- หูชั้นกลางอักเสบ
- ปอดอักเสบ (Pneumonia)
- เยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis)
- กล่องเสียงอักเสบ (Laryngitis)
- ไข้สมองอักเสบ (Encephalitis)
- ในหญิงตั้งครรภ์ อาจส่งผลทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด หรือ ทารกน้ำหนักตัวน้อย
ปรึกษาหมอออนไลน์ ที่แอป BeDee ได้ทุกวัน สะดวก เป็นส่วนตัว
ส่งยาถึงที่ ไม่มีค่าจัดส่ง
โรคหัดรักษาอย่างไร?
โรคหัดเกิดจากเชื้อ Measles Virus ซึ่งไม่มียารักษาโรคหัดโดยเฉพาะ โรคหัดวิธีรักษาจะเน้นการดูแลตัวเองและใช้ยารักษาตามอาการ ดังนี้
- ใช้ยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล (ห้ามใช้ยาแอสไพริน หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของยาแอสไพริน เช่น กรดอะซีทิลซาลิซิลิก (acetylsalicylic, ASA) อะซีทิลซาลิไซเลตในเด็ก เพราะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ Reye’s syndrome ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต)
- องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้เสริม วิตามินเอ ในเด็กที่เป็นโรคหัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี เพราะช่วยลดอัตราการเสียชีวิต ความรุนแรงของโรคและภาวะแทรกซ้อน
- เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นเพื่อลดไข้
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ
วิธีป้องกันโรคหัดทำอย่างไร?
วิธีป้องกันโรคหัดสามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงสถานที่แออัดและดูแลตัวเองด้วยวิธี เช่น
- การับวัคซีนป้องกันโรคหัด ซึ่งปัจจุบันมักจะให้ร่วมกับวัคซีนป้องกัน โรคคางทูมและหัดเยอรมัน MMR (Measles, Mumps, Rubella)
- เนื่องจากโรคหัดติดต่อผ่านละอองฝอยจากการไอจาม และติดต่อได้ง่าย จึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วย
- ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารร่วมกัน และการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- หากสงสัยว่ามีอาการคล้ายโรคหัด เช่น ไข้สูง น้ำมูกไหล ผื่นแดง ควรปรึกษาแพทย์ทันที
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคหัด
1. โรคหัดแพร่กระจายได้อย่างไร?
โรคหัดเกิดจากเชื้อไวรัส Measles ซึ่งการติดต่อสามารถเป็นได้ทั้งจากการสัมผัสฝอยละอองขนาดใหญ่ (Droplets) และขนาดเล็กอย่างมากในอากาศ (Airborned) คือมีขนาดเล็กกว่า 5 ไมโครเมตร โรคหัดเป็นโรคที่สามารถติดต่อได้ง่ายอย่างยิ่งโรคหนึ่ง (Highly Contagious Disease) ติดต่อจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อ เช่น การสัมผัสละอองฝอยจากการไอจาม การสัมผัสน้ำลาย เสมหะ ของผู้ป่วย การใช้สิ่งของร่วมกันกับผู้ป่วย และการกระจายผ่านอากาศ (Airborned) ทำให้การติดโรคเมื่ออยู่ใกล้ชิดผู้ที่ติดเชื้อเป็นไปได้ง่าย การติดต่อสามารถเกิดได้ตั้งแต่ 4 วันก่อนเกิดผื่น และ 4 วันหลังมีผื่นหัดเกิดขึ้น
สิ่งที่ควรทำเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโรคหัดคือหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วย สวมหน้ากากอนามัยในที่แออัด ล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์
2. โรคหัดระยะฟักตัวกี่วัน?
ผู้ป่วยจะเกิดอาการของโรคหัดภายใน 14 วันหลังจากได้รับเชื้อไวรัส โดยเริ่มจากอาการมีไข้สูง น้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ ตาแดง และมีจุดค็อปลิค (Koplik Spots) หรือตุ่มแดงที่มีสีขาวเล็ก ๆ ตรงกลางขึ้นในกระพุ้งแก้ม หลังจากนั้น 3-5 วันผู้ป่วยจะเริ่มมีผื่นแดงขึ้นตามตัวโดยจะเริ่มจากบริเวณหน้าผาก ใบหน้า ลำคอ และกระจายไปยังลำตัวแขนและขา
โรคหัดติดต่อได้ง่าย หากไม่แน่ใจควรรีบปรึกษาแพทย์
โรคหัดเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายทางละอองฝอยในอากาศ มีอาการเด่นคือไข้สูง ผื่นแดง น้ำมูกไหล และตาแดง และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดอักเสบหรือสมองอักเสบในบางราย ฯลฯ
โรคหัดสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ปรึกษาหมอออนไลน์ พยาบาล หรือปรึกษาเภสัชกรได้เลยที่นี่
BeDee พบหมอเฉพาะทางเครือ BDMS ได้ทันที ไม่ต้องรอคิว ส่งยาทั่วไทย มั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูล
สอบถามเพิ่มเติม Line Official : @BeDeebyBDMS
Content powered by BeDee Expert
นพ. จิติศักดิ์ พูนศรีสวัสดิ์
แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว เวชศาสตร์ป้องกัน และอาชีวเวชศาสตร์
เรียบเรียงโดย
กรวรรณ ใจซื่อกุล
Measles. (2024, November 14). WHO. https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/measles
Measles. (2024, November 13). Health Information and Services. https://info.health.nz/conditions-treatments/infectious-diseases/about-measles/measles
Measles Symptoms and Complications. (2024, May 9). CDC. https://www.cdc.gov/measles/signs-symptoms/index.html
Gastañaduy, P. & Goodson, J. (2023, May 1). Rubeola / Measles. Travel-Associated Infections & Diseases. CDC Yellow Book 2024.
https://wwwnc.cdc.gov/travel/yellowbook/2024/infections-diseases/rubeola-measles
Vitamin A for measles. (n.d.). Cochrane Method Equity.
https://methods.cochrane.org/equity/vitamin-measles